“พุทธคยา” เชื่อว่าพุทธศาสนิกชนทั้งหลายคงรู้จักคุ้นเคยเป็นอย่างดี ด้วยเป็นพุทธสังเวชนียสถานที่สำคัญที่สุด 1 ใน 4 สังเวชนียสถาน และถือว่าเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ที่สุดของชาวพุทธทั่วโลก เพราะเป็นจุดเริ่มต้นของพระพุทธศาสนา เป็นสถานที่ที่เจ้าชาย สิทธัตถะได้ตรัสรู้พระอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ เป็นสมเด็จพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นเวลากว่า 2,500 ปีแล้ว “พุทธคยา” สถานที่แห่งนี้เป็นศูนย์รวมของจุดหมายแสวงบุญของชาวพุทธผู้มีศรัทธาทั่วโลก ปัจจุบันพุทธคยามีชื่อเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า “วัดมหาโพธิ์” ตั้งอยู่ที่จังหวัดคยา รัฐพิหาร ประเทศอินเดีย ห่างจากริมฝั่งแม่น้ำเนรัญชรา 350 เมตร ในปัจจุบันพุทธคยาอยู่ในความดูแลของ คณะกรรมการร่วม พุทธ-ฮินดู และได้รับการยกย่องจากองค์การยูเนสโก UNESCO ให้เป็นมรดกโลก ประเภทมรดกทางวัฒนธรรม เมื่อปี พ.ศ. 2545 “พุทธคยา” เป็นสถานที่ตรัสรู้ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า โดยมี “ต้นพระศรีมหาโพธิ์” เป็นต้นไม้แห่งการตรัสรู้ ณ ที่แห่งนี้รวมทั้งหมดมี 4 ต้น และทั้ง 4 ต้นนี้ได้เจริญเติบโตทดแทนกันมาเรื่อยๆ จากที่เดิม มีประวัติความเป็นมาอันยาวนาน นับเป็นอนุสรณ์สถานที่มีคุณค่าของชาวพุทธและมวลมนุษยชาติทั่วโลก ต้นพระศรีมหาโพธิ์ ต้นที่ 1 เป็นต้นไม้คู่พระบารมีและเป็นสหชาติของพระโพธิสัตว์ เกิดขึ้นพร้อมกับวันที่พระโพธิสัตว์ประสูติ ตามพระพุทธประวัติกล่าวว่า สหชาติมี 7 ประการ (สัตตสหชาติ) คือ พระนางพิมพา, พระอานนท์พุทธอนุชา, นายฉันนะ, อำมาตย์กาฬุทายี, ม้ากัณฐกะ, ขุมทรัพย์ 4 มุมเมือง และต้นอัสสัตถพฤกษ์หรือต้นโพธิ์ ต้นพระศรีมหาโพธิ์ ต้นที่ 1 นี้ เป็นต้นที่พระพุทธเจ้าทรงประทับตรัสรู้พระสัมมาสัมโพธิญาณ พระองค์ได้รับการถวายหญ้ากุสะจำนวน 8 กำจากโสตถิยะพราหมณ์ เพื่อปูเป็นที่ประทับเมื่อใกล้รุ่งของวันเพ็ญ เดือน 6 จึงตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และพระองค์ตรัสว่า ต้นพระศรีมหาโพธิ์เป็นต้นไม้แทนพระพุทธองค์ หากใครได้ไหว้ได้สักการะต้นพระศรีมหาโพธิ์ก็เท่ากับว่าได้ไหว้สักการะพระพุทธองค์ และหลังจากที่พระพุทธองค์เสด็จดับขันธปรินิพพานแล้ว มีผู้เลื่อมใสศรัทธามากราบไหว้ต้นพระศรีมหาโพธิ์เป็นจำนวนมาก ในสมัยพระเจ้าอโศกมหาราช พระองค์ทรงเป็นองค์เอกอัครศาสนูปถัมภ์ ทำให้พระพุทธศาสนาเจริญรุ่งเรืองเป็นอันมาก เช่น ทรงสร้างพระเจดีย์ถวายเป็นพุทธบูชาจำนวนถึง 84,000 องค์ ซึ่งทำให้พระเจ้าอโศกมหาราชไม่สนพระทัยในความสุขส่วนพระองค์เหมือนเช่นเคย เมื่อว่างเว้นจากราชกิจก็มาปฏิบัติธรรมใต้ต้นพระศรีมหาโพธิ์ ไม่กลับวังที่ประทับ จึงเป็นเหตุให้เหล่าพระมเหสีนางสนมทั้งหลายต่างพากันโกรธแค้นอิจฉาต้นพระศรีมหาโพธิ์ พระมเหสีองค์ที่ 4 ของพระเจ้าอโศกมหาราช นามว่า มหิสุนทรี (พระนางติษยรักษิต) ได้รับสั่งให้นางข้าหลวงนำยาพิษและน้ำร้อนแอบไปรดที่โคนต้นพระศรีมหาโพธิ์จนทำให้ต้นพระศรีมหาโพธิ์ตายไปในที่สุด นับเป็นการล้มตายลงไปหลังสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้เสด็จเข้าสู่ปรินิพพานล่วงไปแล้ว 200 ปี การล้มตายของต้นพระศรีมหาโพธิ์ ทำให้พระเจ้าอโศกมหาราชทรงเสียพระทัยเป็นอันมาก ได้ทรงมีรับสั่งให้มหาดเล็กเอาน้ำนมโค 100 หม้อไปรดที่บริเวณรากของต้นพระศรีมหาโพธิ์ที่ล้มตายลงไปนั้นทุกวัน และทรงอธิษฐานพร้อมกับการสักการะก้มกราบ พระองค์ทรงมีพระราชปรารภว่า หากแม้ว่าต้นพระศรีมหาโพธิ์ไม่แตกหน่อขึ้นมาแล้วไซร้ จะไม่ยอมลุกขึ้นเป็นอันขาด ด้วยพุทธานุภาพและพระราชศรัทธาอันแรงกล้าแห่งพระเจ้าอโศกมหาราช เป็นที่อัศจรรย์ต้นพระศรีมหาโพธิ์ภายหลังก็แตกหน่องอกขึ้นมาใหม่ จึงได้นับหน่อนี้เป็นต้นที่ ๒ และมีอายุยืนต่อมาอีกหลายร้อยปี พระเจ้าอโศกมหาราชทรงดีพระทัยเป็นอันมากจึงทรงมีรับสั่งให้ก่อกำแพงล้อมรอบไว้เพื่อป้องกันอันตรายที่จะเกิดขึ้นกับต้นพระศรีมหาโพธิ์อีก ต้นพระศรีมหาโพธิ์ ต้นที่ 2 ถือเป็นต้นที่แตกหน่อมาจากต้นแรก การที่พระเจ้าอโศกมหาราชได้เผยแผ่พระพุทธศาสนาไปทั่วโลก จึงมีการนำต้นพระศรีมหาโพธิ์ไปปลูกในประเทศต่างๆ ด้วย เช่น พระโสณะเถระและพระอุตตรเถระ เดินทางไปยังดินแดนสุวรรณภูมิ และ พระมหินทเถระ พระนางสังฆมิตตาเถรี เดินทางไปยังประเทศศรีลังกา เป็นต้น โดยพระภิกษุและพระภิกษุณีเหล่านี้ได้นำต้นหรือกิ่งของต้นพระศรีมหาโพธิ์ไปด้วย ต้นพระศรีมหาโพธิ์ ต้นที่ 2 ถูกทำลายจนล้มตายอีกครั้งในสมัย พระเจ้าปรณวรมา แคว้นมคธของพระองค์ได้ถูกรุกรานโดย พระเจ้าสาสังการ แห่งฮินดู จากแคว้นเบงกอล พระเจ้าสาสังการได้ทรงรับสั่งให้ตัดต้นและขุดราก ใช้ฟางอ้อยสุม ใช้น้ำมันราด และเผาต้นพระศรีมหาโพธิ์ซึ่งมีอายุราว 871-891 ปี จนล้มตาย 7วันหลังจากนั้น พระเจ้าสาสังการทรงอาเจียนเป็นพระโลหิต และสิ้นชีพตักษัยที่พุทธคยา ซึ่งพระเจ้าปรณวรมาเสด็จมาพอดี จึงตีทัพของเบงกอลแตกพ่ายไป และทรงให้ชาวบ้านรีดนมโค 1,000 ตัว เอาน้ำนมที่ได้เทราดบริเวณต้นโพธิ์ที่ถูกเผา พระเจ้าปรณวรมาทรงนอนคว่ำหน้าลงกับพื้น พร้อมอธิษฐานตามแบบพระเจ้าอโศกมหาราช ซึ่งภายหลังต้นพระศรีมหาโพธิ์ก็แตกหน่องอกขึ้นมาใหม่อีกครั้งหนึ่ง จึงได้นับหน่อนี้เป็นต้นที่ 3 ต้นพระศรีมหาโพธิ์ ต้นที่ 3 ในปี พ.ศ.2418 นายพลโทเซอร์ อเล็กซานเดอร์ คันนิ่งแฮม (Sir Alexander Cunningham) ชาวอังกฤษ หัวหน้าคณะสำรวจพุทธสถานในช่วงอังกฤษปกครองประเทศอินเดีย ผู้ค้นพบสถานที่ตรัสรู้ของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้เดินทางไปที่เมืองพุทธคยาเป็นครั้งที่ 2 พบว่า ต้นพระศรีมหาโพธิ์ทรุดโทรมมาก ประชาชนชาวฮินดูในบริเวณนั้นได้ตัดกิ่งก้านไปทำเชื้อเพลิง ครั้นเมื่อประมาณปี พ.ศ. 2421-2423 ได้เกิดพายุใหญ่ เป็นเหตุให้ต้นพระศรีมหาโพธิ์เบียดกับพระเจดีย์พุทธคยา กระทั่งหักโค่นล้มลงไปทางทิศตะวันตกและล้มตายไปเอง ต้นพระศรีมหาโพธิ์ ต้นที่ 3 นี้มีอายุยืนประมาณ 1258-1278 ปี ต้นพระศรีมหาโพธิ์ ต้นที่ 4 เป็นต้นที่ยังคงยืนต้นอยู่ที่พุทธคยาในปัจจุบัน เป็น 1 ใน 2 หน่อที่แตกขึ้นมาจากต้นพระศรีมหาโพธิ์ ต้นที่ 3 ที่ ล้มตายไป โดยท่านเซอร์คันนิ่งแฮม ได้บำรุงดูแลหน่อที่เกิดมานั้นเมื่อปี พ.ศ. 2423 และนำอีกหน่อหนึ่งไปปลูกไว้ด้านทิศเหนือของพระเจดีย์ พุทธคยา ห่างจากต้นเดิมประมาณ 50 เมตร ซึ่งปัจจุบัน “ต้นพระศรีมหาโพธิ์” ทั้ง 2 ต้นนี้ยังคงยืนต้นอยู่ มีอายุยืนยาวจวบถึงทุกวันนี้
ขอบคุณข้อมูลจาก wikipedia,www.watthaibuddhagaya935.com ปัจจุบันต้นพระศรีมหาโพธิ์ทั้งสองต้นยังคงอยู่มีอายุได้ถึงทุกวันนี้ อายุได้ 139-140 ปี ท่านสาธุชนผู้ศรัทธาสามารถเดินทางไปสักการะได้ด้วยตนเอง สายการบินภูฏานแอร์ไลน์ก็เป็นอีกสายการบินที่มีเส้นทาง ”พุทธคยา” บินตรงจากสุวรรณภูมิถึงพุทธคยา โดยใช้เวลาบินเพียง 3 ชั่วโมง 15 นาทีเท่านั้น ท่านก็ได้สักการะต้นพระศรีมหาโพธิ์แล้ว สำหรับท่านที่สนใจเดินทางตามรอยพระพุทธเจ้า สู่สังเวชนียสถาน สำคัญของพุทธศาสนิกชน โดยสายการบินภูฏานแอร์ไลน์ได้เห็นถึงความสำคัญของพุทธศาสนิกชนชาวไทยจำนวนมาก มีความประสงค์ที่จะเดินทางไปยัง พุทธคยา ประเทศอินเดีย เพื่อเอื้ออำนวยในการเดินทางไปเยือนดินแดนแห่งธรรมะ สายการบินภูฏานแอร์ไลน์จึงได้เปิดเที่ยวบินตรงกรุงเทพ-พุทธคยา ในช่วงเดือนธันวาคม ถึง กุมภาพันธ์ของทุกปี สายการบินภูฏานแอร์ไลน์ เส้นทาง กรุงเทพ-พุทธคยา (บินตรง) ตั้งแต่วันที่ 4 ธค 62 - 29 กพ 63 บินเฉพาะวันพุธและวันเสาร์ ราคา 7,890บาท เที่ยวเดียว (ยังไม่รวมภาษี) ราคา 14,400 บาท ไป-กลับ (รวมภาษี) สอบถามและสำรองที่นั่ง โทร 02-630-4600
0 Comments
Leave a Reply. |