ในยุคแห่งโลเทคโนโลยีที่มีการพัฒนาอย่างก้าวกระโดด ส่งผลให้ผู้คนอยู่ท่ามกลางการแข่งขันอย่างสูง คนเมืองใช้เวลาอยู่ในป่าคอนกรีตแทบทุกช่วงเวลาของชีวิต เต็มไปด้วยความวุ่นวายจากมลภาวะสารพัดรูปแบบ เมื่อร่างกายรู้สึกเหนื่อยล้า เต็มไปด้วยความสับสนวุ่นวาย จนเกิดความเครียด จนต้องไขว่คว้าหาทางรักษาบำบัดร่างกาย ผู้คนจึงโหยหาการพาตัวเองเพื่อกลับไปใกล้ชิดกับธรรมชาติให้มากขึ้น ด้วยเป็นยาบำบัดที่ดีที่สุดต่อมนุษย์ หากจะไปสัมผัสธรรมชาติอย่างเต็มที่ ประเทศภูฏานเป็นอีกหนึ่งจุดหมายปลายทางที่อุดมไปด้วยธรรมชาติอันบริสุทธิ์ นับเป็นอีกทางเลือกที่ควรค่าแก่การไปเยือน ด้วยภูฏานเป็นประเทศเล็กๆ ที่เปี่ยมล้นด้วยรอยยิ้มและความสุข ที่สำคัญยังถูกโอบล้อมไว้ด้วยธรรมชาติและขุนเขา ไม่ว่าจะมองไปทางไหนก็จะเห็นธรรมชาติอันงดงาม เพราะนอกจากภูฏานจะมีพื้นที่ป่ามากถึงร้อยละ 70 ของพื้นที่ทั้งหมดของประเทศแล้ว ภูฏานยังเป็นหนึ่งเดียวในโลกที่มีค่าการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เป็นค่าติดลบ (Carbon-Negative) ด้วยภูฏานมีปริมาณทรัพยากรทางธรรมชาติจำนวนมหาศาล จึงทำให้ภูฏานมีปริมาณป่าไม้ที่ปล่อยออกซิเจนมากกว่าปริมาณคาร์บอนไดออกไซด์ปีละ 1.1 ล้านตัน จึงทำให้ภูฏานมีปริมาณปล่อยคาร์บอนติดลบ จึงทำให้มั่นใจได้ว่า หากคุณมาเยือนประเทศภูฏานจะได้สูดอากาศสดๆ อันบริสุทธิ์ที่ธรรมชาติพร้อมมอบให้ช่วยเติมเต็มพลังชีวิตตลอดเวลาการเดินทางในภูฏานอย่างแน่นอน เมื่อคุณต้องการผ่อนคลายความเหนื่อยล้าจากการใช้ชีวิตประจำวันกับการเดินทางท่องเที่ยว ไปพร้อมกับวิธีง่ายๆที่จะช่วยบำบัดรักษาความเหนื่อยล้า และเพิ่มพลังให้กับชีวิต ด้วยการเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติอย่างศาสตร์การอาบป่า (Forest Therapy) ซึ่งแน่นอนว่าเมื่อคุณมาเยือนประเทศภูฏานทุกย่างก้าวของการเดินทางคุณจะได้สัมผัสกับธรรมชาติอย่างเต็มเปี่ยม และนอกจากจะได้รับออกซิเจนที่ต้นไม้ปล่อยมาแล้ว ยังมีน้ำมันหอมระเหยที่เรียกว่า ‘ไฟทอนไซด์’ (Phytoncide) หรือ ‘กลิ่นธรรมชาติบำบัด’ ที่ต้นไม้ปล่อยออกมาอีกด้วย อันอุดมไปด้วยประโยชน์นานับประการต่อร่างกายมนุษย์ ช่วยทำให้รู้สึกผ่อนคลายจากความเหนื่อยล้า ลดความเครียด ส่งเสริมสุขภาพจิต และช่วยเพิ่มระดับภูมิต้านทานในร่างกาย รวมถึงสามารถเพิ่มการทำงานของเซลล์ฆาตกรธรรมชาติ (Natural Killing Cell – NK) ที่มีส่วนช่วยต่อสู้กับไวรัส หรือโรคมะเร็งบางชนิด เป็นการรับประสบการณ์เดินทางท่องเที่ยวใหม่ๆ ในภูฏานกับ Bhutan Therapy ให้ภูฏานช่วยบำบัดรักษาเยียวยา เพิ่มระดับพลังงานในร่างกาย และทำให้นอนหลับได้ดียิ่งขึ้นด้วย พร้อมเพลิดเพลินไปกับการเดินทางท่องเที่ยวที่จะได้สัมผัสถึงวัฒนธรรม สถาปัตยกรรมอันงดงาม ณ ประเทศภูฏาน ที่ได้รับการขนานนามว่าเป็นประเทศที่มีความสุขที่สุดในโลก
ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าธรรมชาติเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตมนุษย์มาตั้งแต่อดีตกาล ที่คอยมอบสิ่งดีๆให้กับมนุษย์เสมอ ว่ากันว่าหากเราเข้าใจธรรมชาติ ธรรมชาติก็จะมอบพลังให้ร่างกายและจิตใจมนุษย์อย่างมากมาย เป็นพลังที่มองไม่เห็นด้วยตาเปล่า แต่ร่างกายรับรู้ได้ว่าเป็นผลดีมากเพียงไร ดังที่อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์กล่าวไว้ว่า “มองลึกลงไปในธรรมชาติ แล้วเราจะเข้าใจทุกอย่างได้ดีขึ้น” “Look deep into nature, and then you will understand everything better.”
0 Comments
ในยุคโลกาภิวัตน์ การดำเนินชีวิตของคนเมืองเต็มไปด้วยความรีบเร่ง ก้าวกระโดดไปพร้อมกับเทคโนโลยีที่มีการพัฒนาไปอย่างรวดเร็ว จนอาจทำให้หลงลืม และค่อยๆออกห่างไปจากธรรมชาติอันเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตของมนุษย์ที่เป็นมาตั้งแต่ในอดีต เราจึงควรพาตัวเองกลับเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติ เพื่อให้ธรรมชาติช่วยบำบัดและเยียวยาร่างกายของเรา เพราะ ‘ธรรมชาติคือยาที่ดีที่สุด’ การอาบป่า (Forest Bathing หรือ Forest Therapy) ที่มีต้นกำเนิดมาจากประเทศญี่ปุ่นเรียกว่า ชิริน - โยกุ (Shirin-yoku) ที่มาจากคำว่า ชินริน แปลว่า ป่า ส่วน โยกุ แปลว่า การอาบน้ำ หลายคนอาจเข้าใจว่าเป็นการไปแช่น้ำในสระหรือเล่นน้ำตกในป่า แต่เป็นการพาร่างกายที่เหน็ดเหนื่อยไปพักผ่อนโดยการเข้าใกล้ธรรมชาติมากขึ้น เป็นการฟื้นฟูร่างกายและจิตใจอย่างหนึ่ง โดยการใช้เวลาซึมซับธรรมชาติเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของร่างกาย เพื่อใช้เวลาอยู่ท่ามกลางป่าไม้ และขุนเขา ที่อุดมไปด้วยธรรมชาติอันบริสุทธิ์ ถึงแม้ว่าจะไม่เคยเดินป่าหรือไม่ชอบเดินป่า ก็สามารถใช้ศาสตร์การอาบป่านี้ได้ เพราะการอาบป่าเป็นการทอดน่องและค่อย ๆ สัมผัสซึมซับกับธรรมชาติให้รู้สึกและรับรู้ถึงการเป็นส่วนหนึ่งซึ่งกันและกัน แต่สิ่งที่ทำให้ Shinrin-Yoku แตกต่างจากการเดินป่าหรือปีนเขาทั่วไป นั่นคือการตั้งสติและรับรู้สิ่งที่เกิดขึ้นรอบตัวผ่านการเคลื่อนไหว จึงเป็นเหมือนการเดินเล่นในป่าไปพร้อม ๆ กับการเปิดประสาทสัมผัสทั้งห้าเพื่อติดต่อกับธรรมชาติโดยตรง ด้วยการมีสติอยู่กับลมหายใจในทุก ๆ ก้าวที่ก้าวเดิน การอาบป่าจึงเป็นการใช้เวลาอยู่ในป่า ด้วยการเดินทอดน่องสบายๆ ซึมซับธรรมชาติให้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของร่างกายผ่านประสาทสัมผัสทั้งห้า ไม่ว่าจะเป็นรูป รส กลิ่น เสียง และสัมผัส เหมาะอย่างยิ่งสำหรับคนเมืองผู้มีวิถีชีวิตเร่งรีบ และมีความเครียดสูงจนเสี่ยงต่ออาการเจ็บป่วยที่มีผลกับร่างกายและจิตใจ ใช้ความเงียบและสงบเป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยให้ผู้เข้าร่วมมีสมาธิจดจ่ออยู่กับสิ่งที่เกิดขึ้นรอบตัว ค่อยๆ เดินสบายๆ มองธรรมชาติผ่านสายตา ฟังเสียงลม ลำธาร และนกร้อง ในขณะเดียวกันก็สามารถสูดกลิ่นหอมสดชื่นจากกลิ่นไอของป่า ซึ่งเป็นกลิ่นหอมที่ธรรมชาติมอบให้ เพื่อให้ป่าและธรรมชาติบำบัดและเยียวยาคุณ แล้วจะพบว่าทำให้รู้สึกสบายและผ่อนคลายอย่างไม่น่าเชื่อ สิ่งวิเศษเหล่านี้ เป็นสิ่งที่ธรรมชาติพร้อมจะมอบให้เราเสมอเพียงแค่เราก้าวเท้าเข้าป่า จากผลวิจัยทางวิทยาศาสตร์ระบุว่า การอาบป่าสามารถฟื้นฟูกลไกลต่าง ๆ ของร่างกายได้ ด้วยธรรมชาติมีพลังในการบำบัดรักษา เพราะนอกจากต้นไม้จะปล่อยออกซิเจนออกมาแล้ว ยังมีการปล่อยน้ำมันหอมระเหยที่เรียกว่า ‘ไฟทอนไซด์’ (Phytoncide) หรือ ‘กลิ่นธรรมชาติบำบัด’ ที่อุดมไปด้วยประโยชน์นานับประการต่อร่างกายมนุษย์ ช่วยทำให้รู้สึกผ่อนคลายจากความเหนื่อยล้า ลดความเครียด ลดความดันเลือด ลดอาการซึมเศร้า ส่งเสริมสุขภาพจิต ทำให้อารมณ์ดี และเกิดความคิดสร้างสรรค์ อีกทั้งยังช่วยให้เรามีชีวิตยืนยาวขึ้น แต่ผลลัพธ์ที่ดีที่สุดของการอาบป่า คือ การที่ร่างกายได้รับสารบริสุทธิ์จากธรรมชาติผ่านการหายใจ ซึ่งสารเหล่านี้ช่วยเพิ่มระดับภูมิต้านทานในร่างกาย รวมถึงสามารถเพิ่มการทำงานของเซลล์ฆาตกรธรรมชาติ (Natural Killing Cell – NK) ที่อาจช่วยต่อสู้กับไวรัส เนื้องอก หรือโรคมะเร็งบางชนิด รวมถึงช่วยให้ผู้ป่วยฟื้นตัวรวดเร็วขึ้นจากการเจ็บไข้ได้ป่วยหรือจากการผ่าตัด อีกทั้งยังเพิ่มระดับพลังงานในร่างกาย และทำให้นอนหลับได้ดียิ่งขึ้นด้วย
นอกจากนี้ การอาบป่าสามารถกระตุ้นให้เกิดภูมิคุ้มกันในร่างกายเป็นเวลาประมาณ 1 เดือนหลังจากอาบป่า หากเราอาบป่าเดือนละครั้ง ก็จะช่วยเพิ่มภูมิคุ้มกันได้อย่างเพียงพอ ซึ่งทั้งหมดล้วนเป็นประโยชน์อันน่าอัศจรรย์ ที่ได้รับการยืนยันทางวิทยาศาสตร์แล้ว หากเราลองใช้ศาสตร์การอาบป่า พาตัวเองไปอยู่กับธรรมชาติ แล้วเราจะพบว่าพลังแห่งธรรมชาติมหัศจรรย์เพียงใด ทุกท่านคงได้เห็นแล้วว่า ธรรมชาติ นั้นเป็นส่วนหนึ่งที่สำคัญของมนุษย์ที่ไม่สามารถตัดขาดออกไปได้ เพียงแต่มนุษย์มักจะหลงลืมและมองข้ามไปเท่านั้นเอง หากคุณอยากจะลองศาสตร์การอาบป่าเพื่อเติมพลังให้กับชีวิต ประเทศภูฏานก็เป็นอีกที่ที่เราอยากแนะนำให้คุณได้ลองไปสัมผัส ด้วยภูฏานเป็นประเทศที่อุดมไปด้วยธรรมชาติ มีพื้นที่ป่าไม้มากถึงร้อยละ 70 ของพื้นที่ทั้งหมด เรียกได้ว่าไม่ว่าจะยืนอยู่จุดใดในประเทศภูฏาน คุณก็จะได้สัมผัสกลิ่นไอของธรรมชาติอันบริสุทธิ์ เราจึงอยากให้คุณได้มาเยือน เพื่อให้ธรรมชาติในภูฏานบำบัด (Bhutan Therapy) ร่างกายที่เหนื่อยล้า ได้เติมเต็มพลังงานอย่างเต็มที่ สังเวชนียสถาน ถือว่าเป็นสถานที่ควรไปเคารพสักการะ ควรไปแสวงบุญ เพื่อให้เกิดความสังเวชและเกิดพุทธานุสติ อันจักนำมาซึ่งบุญกุศลอันยิ่งใหญ่ โดยมีสังเวชนียสถาน 4 แห่งที่สำคัญ คือ สถานที่ประสูติ สถานที่ตรัสรู้ สถานที่แสดงปฐมเทศนา และสถานที่ปรินิพพาน ซึ่ง 4 สังเวชนียสถานเหล่านี้ ได้เกิดขึ้นโดยคำแนะนำของพระพุทธองค์ที่ได้ตรัสว่า “ผู้ใดระลึกถึงพระองค์ พึงจาริกไปยังสังเวชนียสถานทั้งสี่นี้” วันนี้ สายการบิน Bhutan Airlines ได้รวบรวมเรื่องราวและที่มาของ สังเวชนียสถาน ที่ชาวพุทธควรไปเคารพสักการะ เพื่อระลึกถึงพระพุทธเจ้า 1.ลุมพินีวัน ลุมพินีคือสถานที่ประสูติของพระพุทธเจ้า เป็นสังเวชนียถานแห่งที่ 1 ใน 4 ปัจจุบันตั้งอยู่ในประเทศเนปาล ตำบลรุมมินเดจังหวัดไพราวา หรือสิทธาตนคร ครั้งพุทธกาลตั้งอยู่ระหว่างกรุงกบิลพัสดุ์และเทวทหะ พ.ศ. ๙๔๒ สมณะฟาเหียน ได้จาริกมาชมพูทวีป บันทึกไว้ ณ ลุมพินี มีบ่อน้ำ ใสสะอาด มีสังฆารามเจดีย์และเสาหินตั้งตระหง่านอยู่ พระสงฆ์ ประพฤติปฏิบัติเรียบร้อย ก่อนที่จะอุบัติในโลก พระโพธิสัตว์จะต้องพิจารณาถึงสิ่งสำ คัญ ๕ ประการ เรียกว่า ปัญจมหาวิโลกนะ1. กาลเวลา คือ ไม่มากหรือน้อยเกินไป เป็นยุคที่มนุษย์มีอายุร้อยปี (เห็นพระไตรลักษณ์) 2. ทวีป คือ เลือกชมพูทวีป 3. ประเทศ คือ มัชฌประเทศ 4. ตระกูล คือ ตระกูลที่คนยกย่องเช่น ตระกูลกษัตริย์ 5. พระมารดา เป็นผู้ที่สั่งสมบุญบารีมาดี คือพระนางสิริมหามายา 2.วัดมหาโพธิ์ พุทธคยา พุทธคยา ถือว่าเป็นสถานที่สำคัญที่ศักดิ์สิทธิ์ที่สุดของชาวพุทธทั่วโลก พุทธคยาเป็นสังเวชนียสถานแห่งที่ 2 เป็นศูนย์รวมของการจาริกแสวงบุญจากผู้มีจิตศรัทธาทั่วโลก รวมทั้งนักท่องเที่ยวทั่วโลก คือสถานที่ตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า ในอาณาบริเวณพุทธคยาจะมีวัดชาวพุทธเป็นจำนวนมากร่วมทั้งประเทศไทย พุทธคยาถือว่าเป็นปฐวีนาภี สะดือของโลก เป็นจุดศูนย์กลางของโลก 3.ธรรมเมกขสถูป(สารนาถ) สถานที่ที่ทรงแสดงธรรมเพื่อประกาศพระพุทธศาสนาเป็นครั้งแรกในโลกนั้น เกิดเป็นพุทธานุสรณ์สถานระลึกถึง คือ ‘ธัมเมกขสถูป’ เป็นสังเวชนียสถานแห่งที่ 3 สันนิษฐานว่าสร้างขึ้นในสมัยพระเจ้าอโศกมหาราช (พ.ศ.269-311) ธัมเมกขสถูปเป็นสถูปขนาดใหญ่ มีความสูง 31.3 เมตร และมีเส้นผ่านศูนย์กลาง 28.3 เมตร ด้านล่างก่อด้วยหิน สูงขึ้นไปอีกชั้นหนึ่งทำเป็นช่องๆ แต่ละช่องประดิษฐานพระพุทธรูปแบบต่างๆ ส่วนช่องใหญ่รอบองค์พระสถูปนั้นมี 8 ช่อง ซึ่งมีความหมายถึง มรรคมีองค์ 8 ประการ ธัมเมกขสถูป มาจากคำว่า ‘ธัมเมกขะ’ หมายถึง เห็นธรรม ส่วน ‘สถูป’ หมายถึงสิ่งก่อสร้างที่บรรจุของควรบูชา เป็นอนุสรณ์เตือนใจให้เกิดกุศลธรรม ดังนั้น ธัมเมกขสถูปสร้างขึ้นเพื่อเป็นอนุสรณ์แก่ผู้เห็นธรรมในวันอาฬาหบูชา คือ พระโกณฑัญญะ 4.สาลวโนยาน กุสินารา สาลวโนทยาน กุสินารา หรือ กุศินคร เป็นสังเวชนียสถานแห่งที่ 4 ตั้งอยู่ เมืองกุสินคร ประเทศอินเดีย เมืองกุสินารา อยู่ตรงข้ามฝั่งแม่น้ำคู่กับเมืองปาวา เป็นที่ตั้งของ สาลวโนทยาน หรือป่าไม้สาละที่พระพุทธเจ้าเสด็จดับขันธปรินิพพานและเป็นสถานที่ถวายพระเพลิงพระพุทธเจ้า มีชื่อเรียกในท้องถิ่นว่า มาถากุนวะระกาโกฏ ซึ่งแปลว่า ตำบลเจ้าชายสิ้นชีพ ปัจจุบันกุสินารามีอนุสรณ์สถานที่สำคัญคือสถูปใหญ่ซึ่งพระเจ้าอโศกมหาราชสร้างไว้และบรรจุพระบรมสารีริกธาตุ วิหารปรินิพพานซึ่งเป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูปปางปรินิพพาน พระพุทธรูปปางอนุฏฐิตไสยาสน์ มีพุทธลักษณะคือพระพุทธรูปนอนบรรทมตะแคงเบื้องขวา ศิลปะมถุรา มีอายุกว่า 1,500 ปี ในจารึกระบุผู้สร้างคือ หริพละสวามี โดยนายช่างชื่อ ทินะ ชาวเมืองมถุรา ในปัจจุบันพระพุทธรูปองค์นี้ถือได้ว่าเป็นจุดหมายสำคัญที่ชาวพุทธจะมาสักการะ เพราะเป็นพระพุทธรูปที่มีพุทธลักษณะอันพิเศษคือเหมือนคนนอนหลับธรรมดา แสดงให้เห็นว่าพระพุทธองค์ได้เสด็จดับขันธปรินิพพานจากไปอย่างผู้หมดกังวลในโลก สำหรับท่านที่สนใจเดินทางตามรอยพระพุทธเจ้า สู่สังเวชนียสถาน สำคัญของพุทธศาสนิกชน โดยสายการบินภูฏานแอร์ไลน์ได้เห็นถึงความสำคัญของพุทธศาสนิกชนชาวไทยจำนวนมาก มีความประสงค์ที่จะเดินทางไปยัง พุทธคยา ประเทศอินเดีย เพื่อเอื้ออำนวยในการเดินทางไปเยือนดินแดนแห่งธรรมะ สายการบินภูฏานแอร์ไลน์จึงได้เปิดเที่ยวบินตรงกรุงเทพ-พุทธคยา ในช่วงเดือนธันวาคม ถึง กุมภาพันธ์ของทุกปี.
สายการบินภูฏานแอร์ไลน์ เส้นทาง กรุงเทพ-พุทธคยา (บินตรง) ตั้งแต่วันที่ 4 ธค 62 - 29 กพ 63 บินเฉพาะวันพุธและวันเสาร์ ราคา 7,890บาท เที่ยวเดียว (ยังไม่รวมภาษี) ราคา 14,400 บาท ไป-กลับ (รวมภาษี) สอบถามและสำรองที่นั่ง โทร 02-630-4600 ในช่วงเวลาแห่งฤดูกาลแสวงบุญ เหล่านักบวชและพุทธศาสนนิกชนจากทั่วทุกมุมโลกต่างเดินทางไปสักการะพระพุทธเจ้า ยังดินแดนแห่งการตรัสรู้ ณ เมืองคยา ประเทศอินเดีย ที่สำคัญในช่วงเดือนธันวาคมของทุกปีจะมีการจัดงานสาธยายพระไตรปิฎก ณ วัดพุทธคยา ประเทศอินเดีย ที่บรรดานักบวชและชาวพุทธจากทั่วโลกจะมารวมตัวกัน เพื่อสวดสาธยายธรรมะของพระพุทธองค์เป็นการสืบต่อพระศาสนา เหมือนดังที่พระพุทธองค์เคยตรัสกับพระอานนท์ว่า “ธรรมและวินัยที่ตถาคตตรัสไว้ดีแล้ว ธรรมเหล่านั้นจะเป็นศาสดาของพวกเธอ...” ในการสาธยายพระไตรปิฎก ณ พุทธคยา จะเป็นบทสวดภาษาบาลี ที่นักบวชจากนานาชาติต่างสาธยายธรรมะหมวดต่างๆสลับช่วงเวลากัน บ้างก็สวดมนต์ เดินจงกรม ปฏิบัติภาวนา ตามแต่สมควรในวาระต่างๆ แต่กลับดูไม่เห็นเป็นความต่าง แม้จีวรที่สวมใส่จะคนละสี คนละแบบ เสียงสวดภาวนาคนละสำเนียง ทำให้ประจักษ์ได้ว่า “พระธรรม” เป็นเครื่องสร้างความสามัคคีให้แก่ชาวพุทธ ทำให้พระพุทธศาสนาดำรงอยู่ได้มาอย่างยาวนานตลอดกว่า 2,600 ปี พระไตรปิฎกหรือที่เรียกเป็นภาษาบาลีว่า ติปิฎกหรือเตปิฎก เป็นคัมภีร์ทางพระพุทธศาสนา ซึ่งตามความหมายแปลว่า ๓ คัมภีร์อันเป็นการรวบรวมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าไว้เป็นหมวดหมู่มิให้กระจัดกระจาย ไตรปิฎก หรือ ๓ ปิฎก หรือ ๓ คัมภีรนี้ ประกอบไปด้วย ๑. วินัยปิฎก ว่าด้วยวินัยหรือศีลของภิกษุ และภิกษุณี ๒. สุตตันตปิฎก หรือพระสูตรว่าด้วยพระธรรมเทศนาทั่วๆ ไป ๓. อภิธัมมปิฎก หรือ ธรรมะที่สำคัญการสาธยายพระไตรปิฎก การสาธยายพระไตรปิฎกเป็นเสมือนการเพิ่ม เติม เสริม กระตุ้นความอยากรู้อยากเห็นในพุทธวจน หรือคำสอนของพระพุทธเจ้า ทำให้คนทั้งหลายที่เป็นชาวพุทธได้รู้จักกัน ได้มีโอกาสศึกษาค้นคว้าธรรมะ เปิดโอกาสให้คนทั้งหลายแสดงออกซึ่งความสามัคคี ยกระดับให้พุทธบริษัท ทำความดีถวายพระพุทธเจ้า เป็นการสะท้อนให้เห็นถึงความมั่นคงของพระพุทธศาสนา
บุญกุศลแห่งการสาธยายพระไตรปิฎก นับว่ามีอานิสงส์สูงสุดหาประมาณมิได้ ก่อให้เกิดความเข้าใจในหลักธรรมคำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นการร่วมสืบทอดพระพุทธศาสนาให้มีอายุยืนยาวด้วยสติปัญญารู้แจ้งในธรรมะสูงสุด อีกทั้งยังช่วยทำให้ผู้ร่วมสาธยายมีสุขภาพดี มีพัฒนาการทางจิตวิญญาณและช่วยให้แคล้วคลาดจากพิบัติภัยต่างๆ โดยสายการบินภูฏานแอร์ไลน์ได้เห็นถึงความสำคัญของพุทธศาสนิกชนชาวไทยจำนวนมาก มีความประสงค์ที่จะเดินทางไปยัง พุทธคยา ประเทศอินเดีย เพื่อเอื้ออำนวยในการเดินทางไปเยือนดินแดนแห่งธรรมะ สายการบินภูฏานแอร์ไลน์จึงได้เปิดเที่ยวบินตรงกรุงเทพ-พุทธคยา ในช่วงเดือนธันวาคม ถึง กุมภาพันธ์ของทุกปี สอบถามเพิ่มเติม หรือ สำรองที่นั่ง โทร. 02-630-4600 จองออนไลน์ https://www.b3thailand.com/booking.html Email : b3@omgexp.com เริ่มวันที่ 4 ธ.ค. 62 - 29 ก.พ. 63 บินเฉพาะ วันพุธ และ วันเสาร์ คำถามยอดฮิตติดดาว “เที่ยวภูฏาน ต้องมีงบเท่าไหร่ถึงจะไปเที่ยวได้” หรือ “เที่ยวภูฏานราคาแพงไหม” สำหรับใครที่กำลังคำนวนงบที่มีอยู่ในบัญชี เตรียมวางแผนจะไปเที่ยวภูฏานในช่วงเร็วๆ นี้ ภูฏานแอร์ไลน์มาคำนวณให้ทุกท่านได้กระจ่าง คิดไม่ยาก ง่ายนิดเดียว เพียงแค่รู้ว่า คุณจะไปเที่ยวภูฏาน “กี่วัน และ กี่คืน” คุณก็จะทราบราคาแพ็คเกจเบื้องต้นคร่าวๆ ได้เลย มาดูวิธีการคำนวณกัน… 1. ค่าทัวร์ การไปเที่ยวประเทศภูฏานแตกต่างจากการไปเที่ยวประเทศอื่น ชาวต่างชาติที่ต้องการท่องเที่ยวประเทศภูฏานจะต้องเสียค่าเหยียบแผ่นดินโดยค่าใช้จ่ายทั้งหมดของค่าเหยียบแผ่นดินแพ็คเกจมาตรฐานจะเป็นแบบการเหมาจ่ายแบบต่อคืนต่อคน ขึ้นอยู่กับช่วงเวลาที่เดินทาง ดังนี้
ประเทศภูฏาน สถานที่ท่องเที่ยวในแต่ละเมือง มีกิจกรรม และไฮไลท์ที่น่าสนใจอะไรบ้าง สามารถดูรายละเอียดได้ คลิกเลย 2. ค่าตั๋วเครื่องบิน สายการบินที่เดินทางเข้าประเทศภูฏานมีเพียง 2 สายการบินเท่านั้น คือ สายการบินภูฏานแอร์ไลน์ และ สายการบินดรุ๊กแอร์ โดยค่าตั๋วทั้ง 2 สายการบินนั้นราคาเท่ากัน คือ
3. ค่าทำวีซ่า การดำเนินการทำวีซ่าเพื่อจะไปเที่ยวประเทศภูฏานจะต้องดำเนินการผ่านบริษัททัวร์เท่านั้น!! ซึ่งเป็นนโนบายของประเทศภูฏาน เพื่อต้องการที่จะกรองนักท่องเที่ยวที่จะเดินทางเข้าประเทศ ค่าใช้จ่ายในการดำเนินการเรื่องวีซ่า จะตกท่านละ 40 USD หรือประมาณ 1,360 บาท โดยการยื่นทำวีซ่านั้นง่ายมากๆ แค่ผู้ที่เดินทาง ส่งแค่หน้าสแกนPassport หรือถ่ายรูปหน้า Passport ขอให้เห็นข้อความชัดเจน แค่นี้ก็สามารถยื่นขอวีซ่าได้แล้ว หากสงสัยขั้นตอนการยื่นขอวีซ่า คลิ๊กเลย 4. ค่าพักเดี่ยว หากต้องการพักเดี่ยวแบบคนเดียว ชอบความเป็นส่วนตัว ไม่อยากให้ใครมารบกวนเวลาพักผ่อนอันแสนสุขของเรา โดยทางโรงแรมสามารถจัดการให้ได้ และต้องบวกเพิ่มในราคา 40 USD หรือประมาณ 1,360 บาท /คืน/คน 5. ค่าบริการม้าและไม้ค้ำขึ้นวัดทักซัง ในวันที่ขึ้นวัดทักซังหากต้องการใช้บริการม้าขึ้นวัดทักซัง โดยค่าบริการ ราคา 18 USD /คน เงินไทยประมาณ 600บาท และค่าเช่าไม้ค้ำจะตกอยู่ที่ 50 งูลตรัม(ค่าเงินภูฏาน) หรือประมาณ 25 บาท 6. ค่าใช้จ่ายอื่นๆ นอกเหนือจากค่าแพ็คเกจ
และทั้งหมดคืองบประมาณและค่าใช้จ่ายสำหรับเที่ยวภูฏานทั้งทริป ช่วยทำให้คุณเห็นภาพว่าต้องวางแผนค่าใช้จ่ายในการท่องเที่ยวอย่างไร ทั้งค่าตั๋วเครื่องบิน ค่าวีซ่า ค่าอาหาร ค่าโรงแรมและที่พัก และค่าเข้าชมสถานที่ ซึ่งไม่รวมค่าทิปไกด์ ทิปคนขับรถ ค่าขี่ม้าขึ้นวัดทักซัง ค่าใช้จ่าย ส่วนตัว ซื้อของฝาก และอื่นๆ หากต้องการประหยัดค่าใช้จ่ายให้มากที่สุด จ่ายทีเดียวจบ ครบทุกอย่าง ไม่ต้องติดต่อเรื่องทัวร์ วีซ่า และโรงแรมให้สับสนและยุ่งยาก ทางเราแนะนำว่า การจองกับบริษัททัวร์ จึงเป็นทางออกที่ดี จ่ายค่าแพ็คเกจทั้งหมดแล้วนับเวลาถอยหลังรอเดินทางไปเยือนดินแดนแห่งความสุขแห่งนี้ได้เลย เที่ยวภูฏานทั้งที แหล่งสถานที่ท่องเที่ยวในแต่ละเมือง กิจกรรม และวัฒนธรรมที่น่าสนใจมีอะไรบ้าง
สามารถดูรายละเอียดได้ คลิกเลย การเดินทางไปท่องเที่ยวประเทศภูฏานนั้น ไม่ใช่เพียงแค่ซื้อตั๋วเครื่องบินก็สามารถเดินทางไปท่องเที่ยวได้เหมือนกับประเทศอื่นๆ เพราะภูฏานเป็นประเทศที่นักท่องเที่ยวไม่สามารถเดินทางได้ด้วยตัวเอง เนื่องจากทางรัฐบาลของประเทศภูฏานมีโนบายในการดูแลนักท่องเที่ยว โดยให้นักท่องเที่ยวเดินทางกับ บริษัททัวร์ หรือได้รับการเชิญจากรัฐบาลภูฏานเท่านั้น ประเทศภูฏานไม่ได้มีนโยบายในการจำกัดนักท่องเที่ยวที่เดินทางเข้าประเทศ แต่ด้วยข้อจำกัดในเรื่องของสภาพอากาศที่สามารถทำการบินได้เพียงบางช่วงเวลา อีกทั้งมีเพียง 2 สายการบินที่ทำการบินไปยังประเทศภูฏาน และมีเที่ยวบินเพียงวันละ 1 เที่ยวบินต่อสายการบินเท่านั้น นอกจากนี้รัฐบาลของภูฏานมีนโยบายในการเรียกเก็บค่าเหยียบแผ่นดินจากนักท่องเที่ยว เพื่อนำเงินส่วนนี้ไปใช้ในการบริหารจัดการแหล่งท่องเที่ยว และพัฒนาประเทศ สำหรับขั้นตอนการขอวีซ่าจะดำเนินการโดยบริษัทนำเที่ยวที่จดทะเบียนอย่างถูกต้องในภูฏานหรือบริษัทนำเที่ยวที่อยู่ในประเทศของท่านเท่านั้น เอกสารที่ใช้ยื่นในการขอวีซ่ามีเพียงแค่สำเนาหนังสือเดินทาง ตั๋วโดยสาร และเอกสารยันยืนการจองทัวร์ เมื่อวีซ่าได้รับการอนุมัติเรียบร้อยแล้ว เอกสารจะอยู่ในรูปแบบ e-Visa ต้องใช้สำหรับการ Check in ด้วย หากมีเอกสารไม่ครบ ทางสายการบินจะปฏิเสธการเดินทางไปยังประเทศภูฏานทันที วีซ่านั้นจะถูกประทับลงบนหนังสือเดินทางของท่านเมื่อท่านผ่านจุดตรวจคนเข้าเมืองที่ภูฏาน ดังนั้น โปรดแสดงวีซ่าที่ท่านได้รับต่อเจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมือง ก่อนที่จะเดินทางไปประเทศภูฏานได้นั้น ต้องมีเอกสารสำคัญที่ใช้ในการเดินทาง ตามตัวอย่างด้านล่างนี้ที่ทางเรานำมาให้ทุกท่านได้ชม E-Ticket E-Ticket Airlines ยืนยันการจองตั๋วเครื่องบิน ที่ระบุ ชื่อผู้โดยสาร, วันเดินทาง และรายละเอียดที่ถูกต้อง เพื่อใช้ออก Boarding pass ในการขึ้นเครื่องบิน Visa Visa ที่ได้รับการอนุมัติโดยรัฐบาลของภูฏาน โดยเอกสารจะอยู่ในรูปแบบ e-Visa ที่ระบุ ชื่อผู้เดินทาง, Visa number, ไกด์ที่ดูแล, ชื่อโรงแรมในแต่ละเมือง และเงื่อนไขการเข้าประเทศ หรือ Visa ที่เชิญเข้าประเทศ และเอกสารยืนยันที่เกี่ยวข้อง Passport Passport ตัวจริงที่ใช้แนบเอกสารในการยืนยันตัวตนว่าเป็นผู้เดินทางต่อเจ้าหน้าที่ที่ดูแล เส้นทางกรุงเทพ - พาโร (ภูฏาน)
ราคาเพียง 27,425 บาท/ท่าน ไป-กลับ *ยังไม่รวมภาษี เดินทางทุกวัน จากสนามบินสุวรรณภูมิ กรุงเทพฯ สอบถามและสำรองที่นั่ง โทร 02-630-4600 เดือนแรกของปี 62 ผ่านไปไม่นาน ก้าวไปกันต่อในเดือนกุมภาพันธ์ที่ใกล้กับช่วงเทศกาลตรุษจีนและวันมาฆบูชาเข้ามาทุกที วันลาก็ดี วันหยุดชดเชยที่มี หรือปีเกิดของใครเป็นปีชงก็เหมาะกับการไปเที่ยวเชิงวัฒนธรรมและการแสวงบุญ เพื่อไหว้พระขอพร เสริมโชคลาภ สร้างบุญบารมี และความเป็นสิริมงคลแก่ชีวิตเป็นอย่างยิ่ง หากคุณยังไม่มีแพลนไปเที่ยวที่ไหน เราขอแนะนำสำหรับคนสายแสวงบุญที่ชอบบรรยากาศท่ามกลางธรรมชาติอย่างคุณไปไหว้พระที่ประเทศภูฏานกัน สำหรับวัดที่เราจะแนะนำให้ทุกท่านไปสักการะสักครั้งเมื่อมาถึงภูฏาน |